ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป

เบื้องลึกของร่างกฏหมายตำรวจแห่งชาติ ภาค 2

  

โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา
 
ทีนี้ก็มาถึงประเด็นท้าทายที่สอง คือ เรื่องสาระสำคัญเกี่ยวกับ วิธีการพิจารณาความดีความชอบในการเติบโตของข้าราชการตำรวจ ซึ่งสาระสำคัญในประเด็นนี้ของร่างกฏหมายต่างฉบับ แต่ชื่อเรียกเดียวกันก็มีความแตกต่างกันพอควร ตรงนี้แหละที่ทำให้ ฝ่ายนิติบัญญัติต้องสนใจ เมื่อกลางปีที่แล้ว คณะกรรมการวิชาการของวุฒิสภา ที่มีท่านรองประธานวุฒิสภา ท่านศุภชัย สมเจริญ ให้ความสนใจ จึงมอบให้ประธานอนุกรรมการด้านกฏหมายของคณะกรรมการวิชาการ คือท่านสว.กล้าณรงค์ จันทิก นำเรื่องนี้มาคลี่ศึกษา ทำให้พบว่า เฉพาะร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ 2 ร่าง หลัง โดยยังไม่ต้องหยิบร่างของ พลเอกบุญสร้างมาเปรียบเทียบเลย ก็มีสาระสำคัญต่างกัน ถึง 30 ประเด็น!!
 
แต่จุดเปราะบางที่สำคัญที่สุดที่มีผู้ทักว่าต้องพิจารณาในข้อกฏหมายรัฐธรรมนูญก็คือ ประเด็นแตกต่างลำดับที่ 21 ว่าด้วยเรื่องหลักการประเมินและความอาวุโสในการคัดเลือกหรือเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในแต่ละระดับของตำรวจตามร่างมาตรา74 ของร่างฉบับที่ผ่านครม.ว่ามีสาระขัดกับความมุ่งหมายที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ2560 มาตรา 258 ง. (4) หรือเปล่า? เพราะคำในรัฐธรรมนูญบอกว่า... " ในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้าย(ตำรวจ) ต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน...." ขีดเส้นใต้คำว่า ประกอบกัน...นะครับ
แต่ในร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ฉบับที่ มาสู่รัฐสภากำหนดว่าให้นำลำดับอาวุโสมาพิจารณาในการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจแต่ละระดับตำแหน่งไม่เท่ากัน
โดยถ้าเป็นการพิจารณาตำแหน่งระดับรองจเรตำรวจขึ้นไปจนถึงรองผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติให้พิจารณาด้วยลำดับอาวุโสล้วนๆ แปลว่าไม่ต้องเอาเรื่องความสามารถ ความทุ่มเทมาคำนวณด้วย 
จุดนี้จึงมีผู้ห่วงว่าจะไม่ค่อยแข่งขันทำงานด้วยความกระตือรือล้นหรือเปล่า ถ้าระดับผู้บังคับการถึงผู้บัญชาการ ให้เรียงตามลำดับอาวุโสไม่น้อยกว่า 50 % ระดับรองผู้บังคับการลงมาจนถึงสารวัตรให้เรียงตามลำดับอาวุโส 33 % และถ้าต่ำกว่าสารวัตรให้คำนึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน ประเด็นจึงต้องพิจารณาว่า วิธีเหล่านี้จะถือได้ว่าสอดคล้องกับความมุ่งหมายตามคำในรัฐธรรมนูญ2560 หรือไม่ 
อย่างไรก็ดี เมื่อผมได้มีโอกาสสนทนาขอความรู้จากพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ในระหว่างไปร่วมกิจกรรมที่ท้องสนามหลวงในช่วงวันพ่อแห่งชาติ พลเอกบุญสร้างให้แง่คิดว่า ถ้าใช้หลักอาวุโสกับทุกชั้นยศ และระดับตำแหน่ง ผู้เพิ่งเข้ารับราชการไม่นานต่างก็จะยังไม่มีผลงานอะไรที่แตกต่างกันมาก ซึ่งจะต่างกับชั้นยศตำแหน่งสูงที่กว่าจะไต่ระดับไปถึงชั้นนั้นก็จะมีทั้งผลงานและความยากง่ายของงานในราชการที่ได้พิสูจน์กันมาแล้วพอประมาณ 
พลเอกบุญสร้าง ให้ข้อสังเกตว่า ที่จริงคำว่าอาวุโสนั้น ดูท่าแต่ละวงราชการก็อาจยังมีความหมายไม่เหมือนกันเสียทีเดียว  อนึ่ง เมื่อผมนำข้อความในรัฐธรรมนูญมาตรานี้มาอ่านหลายๆหนเข้า. ...ก็ชวนให้คิดต่อได้ว่า ที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่าให้กลับมาใช้หลักอาวุโสนั้น ว่าจริงๆก็คงไม่ถึงกับเป็นหลักปราถนาแรกหมายของการยกร่างรัฐธรรมนูญหรอก เพราะคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ2560 กำหนดไว้ว่า 
ถ้าคณะกรรมการที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ครม.ตั้งขึ้น คือหมายถึงชุดพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์นี้ หากทำร่างกฏหมายเสนอไม่ทันในหนึ่งปีนับแต่รัฐธรรมนูญ2560 ประกาศใช้ ก็ให้นำหลักอาวุโสมาใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจแทน และรัฐธรรมนูญมาตรา260 วรรคท้ายสุดบอกว่า 
ถ้าครบกำหนดเวลา1ปีนับแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้(คือเมื่อผ่านวันที่ 7เมย.2561 เป็นอันครบ1ปี เพราะรัฐธรรมนูญถูกประกาศใช้เมื่อวันที่ 6เมย.2560) แล้ว ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฏหมายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ก็ให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจดำเนินการตามหลักอาวุโสตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา แปลว่าหลักอาวุโสนี้เป็นดั่งเงื่อนไขบังคับหลังให้ใช้ ถ้าระบบตามกฏหมายใหม่ถูกนำเข้ามาไม่ทันใช้ในหนึ่งปีหลังรัฐธรรมนูญเริ่มมีผล และยังต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่ครม.กำหนดด้วย ระบบอาวุโสที่ ครม. กำหนดจึงเหมือนจะเป็นระบบสำรอง ที่คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญระบุไว้. ...ส่วนจะเป็นสำรองชั่วคราว หรือเป็นสำรองถาวร รัฐธรรมนูญไม่ได้บอกไว้ตรง ๆ แม้ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่ารัฐธรรมนูญคงไม่ถึงกับปิดตายระบบพิจารณาแบบอื่นถ้าระบบนั้นทำให้สัมฤทธิ์เป้าหมายที่รัฐธรรมนูญตั้งเป้าไว้ในเรื่องกระบวนการยุติธรรมชั้นตำรวจ
และบัดนี้ร่างกฏหมายที่ว่าก็มาถึงรัฐสภาแล้ว
แม้จะช้ากว่าหนึ่งปีที่รัฐธรรมนูญตั้งเป้าเร่งรัดไว้ก็ตาม
แต่ด้วยว่าร่างที่3 คือร่างที่รัฐบาลส่งมายังรัฐสภาคราวนี้ มีวิธีคำนึงถึงอาวุโสต่างไปจากร่างที่2 ที่ชุด อ.มีชัยร่างไว้พอควร และเมื่ออ่านทาบกับคำในรัฐธรรมนูญก็ชวนให้คิดล่ะครับ
รัฐธรรมนูญมาตรา258 ง (4)บอก..."ให้....แก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ.....ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย ต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถ"ประกอบกัน" เพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน"....
นี่เอง... จึงทำให้มีผู้สงสัยว่า แล้วการทำเกณฑ์แต่งตั้งโยกย้ายอย่างไหนจึงจะสอดคล้องกับข้อความตามรัฐธรรมนูญกันแน่
ส่วนเรื่องที่สาระของร่างที่ 2 ต่างจากร่างที่3 อีกราว30ประเด็นก็คงเป็นปกติที่การพิจารณาของรัฐสภาจะถกเถียงกันได้อีกมาก
ในฐานะกรรมการวิชาการ ของวุฒิสภาคนหนึ่ง ผมจึงขอนำเกร็ดที่รับรู้มาประมวลย่อเล่าใหม่ให้ผู้สนใจเรื่องการปฏิรูปวงการตำรวจได้ใช้ประกอบเป็นข้อมูลพื้นฐาน ก่อนจะติดตามการอภิปรายกันในรัฐสภาวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ครับ
 
-------------------------------------------------------------------------
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา 
#weerasak.org
-------------------------------------------------------------------------