ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป

ไฟป่าฝุ่นควันกับทางแก้ไขตอนที่ 3 ดับไฟป่าหน้าที่ใคร ?

 

โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา

ในการเข้าพื้นที่ติดตามปัญหาจากฝุ่นควัน คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภาได้ไปเยี่ยมพบกับทีมหน้างานไฟป่า ทั้งของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ ''ทีมเหยี่ยวไฟ '' อันเป็นหน่วยพิเศษของ กรมป่าไม้ คนละกรมนะครับ ใครที่ไม่คุ้นระบบราชการ มักจะนึกว่าคือกรมเดียวกัน เพราะสมัยก่อนทั้งสองหน่วยนี้คือกรมเดียวกัน สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
แต่พอมีการปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม ตั้งกระทรวงใหม่ ๆ ขึ้นมาในปี2545 งานด้านอนุรักษ์ป่าดูแลอุทยานแห่งชาติคุ้มครองสัตว์ป่า ก็ถูกโยกออกมา แยกจาก กรมป่าไม้ เพื่อตั้งเป็นกรมใหม่ในสังกัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ทิ้งกรมป่าไม้ไว้ที่กระทรวงเกษตรต่อไป ต่อมาจึงโอนกรมป่าไม้ตามไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถรวมสองกรมกลับสู่ร่างเดียว กลายเป็นว่ากรมนึงดูป่าด้วยความมุ่งหมายเพื่อเน้นจะก้าวไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อีกกรมดูป่าด้วยความมุ่งหมายให้เน้นสงวนรักษาระบบนิเวศ กลับมาพูดเรื่องไฟป่า การเดินทางของคณะกรรมาธิการฯ ของวุฒิสภาไปลำปางหนนี้ ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าคิด ซึ่งต้องพกกลับมาตั้งวงวิเคราะห์กันต่อ ก่อนจะผลิตเป็นรายงานเสนอต่อวุฒิสภาได้
เราได้ประจักษ์ว่า ไฟที่เผากันอยู่ในภาคเหนือของไทยนั้น ส่วนมากจะเกิดในเขตของกรมป่าไม้ เพราะประเทศไทยมีพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้มากกว่าพื้นที่ของกรมอุทยานมาก บางจังหวัด เป็นพื้นที่ป่าตั้งเกิน 70 % เช่นลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน ระนอง นี่แค่ยกตัวอย่าง

เฉพาะที่ลำปางจังหวัดเดียว มีป่าสงวนแห่งชาติ 33 ป่า !! กินพื้นที่ 5 ล้าน 3 แสนไร่ อันนี้คือเขตของ กรมป่าไม้ ที่ลำปางมีอุทยานแห่งชาติ อีกต่างหาก 7 แห่ง คืออีก 3 ล้านไร่ มีวนอุทยาน 1 แห่ง 3 แสนไร่ และมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 1 แห่ง หมื่นแปดพันไร่ ก้อนหลังนี้คือเขต กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช แต่ลำปางมีพื้นที่เพาะปลูก 1.1 ล้านไร่ คิดเป็นราว ๆ ไม่ถึง 15 % ของพื้นที่จังหวัดลำปาง ดังนั้น ไฟที่เกิดขึ้นจากการจุด จึงปรากฏบนแผนที่ในส่วนของป่าไม้เป็นหลัก ส่วนจะเป็นป่าของกรมป่าไม้ หรือป่าของกรมอุทยาน ก็ค่อยมาว่ากัน เพื่อประโยชน์ของความเข้าใจ มักมีคนสงสัยว่า วนอุทยาน ต่างยังไงกับอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเคยอธิบายไว้ว่า วนอุทยาน คือ พื้นที่ที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม เช่นถ้ำ น้ำตก หาดทราย โดยทำการปรับปรุง ตกแต่งสถานที่ให้เหมาะสมในการพักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชน เป็นสถานที่ซึ่งไม่อยู่ห่างไกลจากชุมชนนัก สะดวกแก่การเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจ ส่วน อุทยานแห่งชาติ นั้น คือพื้นที่สงวนไว้เพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้และสัตว์ป่า ตลอดจนทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม สงวนไว้เพื่อให้คงสภาพธรรมชาติดั้งเดิม เพื่อรักษาสมบัติทางธรรมชาติให้อนุชนรุ่นหลังๆได้ชมและศึกษาค้นคว้า
วนอุทยาน ตั้งกันโดยประกาศกรม แต่อุทยานแห่งชาติต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา วนอุทยานจะประกาศได้ตั้งแต่ขนาดพื้นที่ 500-5 พันไร่
แต่อุทยานแห่งชาติจะประกาศต้องมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 6,250 ไร่ หรือคือ 10 ตารางกิโลเมตรขึ้นไป เข้าวนอุทยานจะไม่มีการเสียค่าเข้าชม แต่ถ้าเป็นอุทยานแห่งชาติจะต้องเสียค่าเข้าพื้นที่ไปชม เอาล่ะ ปูฐานให้พอควรแล้ว ทีนี้ก็กลับมาเรื่องไฟป่า
อย่างไรก็ตาม นับแต่พศ. 2545 เป็นต้นมา การควบคุมไฟป่า ได้ถูกจัดเป็นภารกิจถ่ายโอนออกจากกรมป่าไม้ไปสู่เทศบาลและอบต. ให้กรมป่าไม้เหลือแต่ภารกิจสนับสนุนด้านวิชาการไฟป่าให้แก่การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนะครับ !!
ส่วนนับแต่ พศ. 2546 เป็นต้นมา
งานของกรมควบคุมมลพิษ ด้านงานตรวจสอบคุณภาพอากาศ ก็ให้ถ่ายโอนไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งงานตรวจสอบมลพิษทางอากาศ ทั้งในพื้นที่ที่มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ และพื้นที่ที่ไม่มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศตั้งอยู่ รวมทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงด้านปัญหามลพิษทางอากาศ

ตลอดทั้งการดำเนินการตามกฏหมายว่าด้วย การส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ด้านการควบคุมมลพิษ ก็ให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถ ''ซื้อ'' บริการจากภาคเอกชนหรือหน่วยงานอื่นที่มีศักยภาพ ในการดำเนินการตามกรอบและวิธีการที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด โดยจะต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลของเครือข่ายการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งเป็นผู้ดำเนินการมายัง ศูนย์รวบรวมข้อมูลระดับประเทศ ที่กรมควบคุมมลพิษ โดย กรมควบคุมมลพิษ จะเป็นผู้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานการตรวจวัด การเชื่อมโยงข้อมูล และระบบการตรวจสอบที่ถูกต้อง
ดังนั้น งบประมาณของกรมป่าไม้ในเรื่องไฟป่าจึงเหลือเพียงสำหรับทำงาน ''วิชาการไฟป่า และการถ่ายทอดความรู้'' นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ภารกิจควบคุมไฟป่า มีข้อขลุกขลัก มานาน คนทำงานระบบจึงอาจรวมตัวกันไม่ค่อยติด 
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก ๆ อย่าว่าแต่ไม่มีงบจัดหาอุปกรณ์ทันสมัย หรือจัดหารถดับเพลิงรถขนน้ำเลย แม้แต่งบดำเนินการดับไฟป่าก็แทบจะไม่มี เพราะถ้าอบต.นั้นไม่ค่อยมีรายได้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ไฟป่านี่เกิดบ่อย ขยายตัวไว แถมอันตรายมากในการเข้าไปควบคุม รวมทั้งภารกิจนี้ ไม่ได้ให้อำนาจแก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจะเข้าไปทำอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ในป่า ไม่ว่าจะเป็นป่าของกรมป่าไม้หรือป่าของกรมอุทยานนี่ครับ ถ้าว่าตามตัวบทกฏหมาย ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนเสมอ ส่วนการปฏิบัติอยู่หน้างาน ทราบว่าก็เอื้อเฟื้อกันดีอยู่ เพราะอยากให้ไฟดับ
เงินท้องถิ่นของพื้นที่กลุ่มชายป่ามักไม่ค่อยมี เพราะนักท่องเที่ยวอยากเข้าป่ายังถูกกำหนดให้ต้องเข้าตามด่านตามสถานีที่ทำการของเจ้าหน้าที่รักษาป่าทั้งนั้น ในขณะที่ความรู้เรื่องวิชาการไฟป่าก็มีความซับซ้อน ทักษะเข้าผจญไฟและความร้อนไม่ใช่เรื่องที่ฝึกได้ง่าย เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยก็มีราคาสูง พื้นที่อยู่ไกลจากระบบสนับสนุน จุดเกิดไฟมักเป็นจุดสูงชัน เข้าถึงยาก ขาดแหล่งน้ำใกล้เคียงให้ใช้ และการดับไฟต้องทำได้ทั้งกลางคืนกลางวัน แปลว่าระบบส่องสว่าง ระบบเสบียง ระบบการรักษาพยาบาลทั้งต่อระบบทางเดินหายใจ และการดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บในป่าลึก การส่งกลับผู้บาดเจ็บ การจัดงบค่าตอบแทนผู้ควบคุมเพลิง ต้องมีเพียงพอ

แบบนี้คงไม่ต้องจินตนาการมากนัก ว่าแล้วที่ผ่าน ๆ มาหลาย ๆ สิบปี กรมป่าไม้และองค์กรท้องถิ่นริมป่าทั่วประเทศ ใช้อะไรสู้และควบคุมไฟป่า 
คำตอบคือ... ใช้ใจและประสบการณ์ป่ากันล้วนๆ...ขอรับ มาภายหลังจึงมีสมาคม มูลนิธิ และภาคเอกชนที่เขาเห็นปัญหาแล้วจึงช่วยกันระดมเงินทุนเข้าช่วยเหลือ เพราะระบบงบประมาณราชการไม่ได้มีให้ตรง ๆ แล้ว
ต้องขอบคุณกลุ่มเอกชนที่อยากเห็น ''ป่าเปียก'' ตามพระราชดำริ ร.9 ที่เข้าช่วยใส่งบ ใส่แรง และใส่ใจ ให้คนหน้างาน พอได้มีอุปกรณ์ดี ๆ ไว้ทำงานเสี่ยงภัย เช่น เครื่องเป่าลม ซึ่งจะทำงานได้ดีและเร็วกว่าการใช้คราดใช้ไม้กวาดกวาดใบไม้ที่พื้นป่าให้แหวกออก เครื่องดูดลม ที่ช่วยดูดเก็บใบไม้ให้เข้าถุงเพื่อนำออกจากพื้นที่ที่ไฟจะลามมาหา จะได้จัดซื้อโดรนขึ้นบินตรวจตรา ค้นหาจุดเกิดไฟ มีแสงส่องสว่างเพื่อให้ตำแหน่งแก่คนภาคพื้น มีลำโพงประกาศบอกกล่าวให้คนข้างล่างรู้เรื่อง จะได้มีเงินไว้ซื้อแผ่นไวนิลหนา ๆ ไปใส่ในเวียนไม้ไผ่ เพื่อทำเสวียนน้ำบนเขาที่แห้งแล้ง จะได้พอมีน้ำไว้เติมเวลาจำเป็น หรือจะได้มีเงินสั่งทำอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการอัดใบไม้ให้เป็นก้อน เพื่อขนออกไปทำประโยชน์
หรือมีเงินจัดหาวิทยุสื่อสาร และอุปกรณ์บอกพิกัดจีพีเอสกับดาวเทียมเพื่อให้ติดตามหาเจ้าหน้าที่ที่ถูกไฟป่า ต้อนไล่พลัดกลุ่มออกไปได้แม่นยำ มีหน้ากากกันแก้สอันตราย มีถังอากาศใช้ในยามฉุกเฉิน มีเป้น้ำดื่มติดหลังสำหรับบุกลุยนานๆกลางไอเพลิงที่ร้อนระอุ มีเข็มขัดสนามที่สามารถร้อยเชือกที่ห่วงเพื่อการโรยตัวได้ทันควัน

สาธยายได้อีกแยะครับ..... ควันไฟป่านั้น คนเมืองในอดีตไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อนเท่าไหร่ อย่างมากก็กวนตากวนใจที่รู้ว่าป่าวอดวายไปอย่างน่าเสียดาย 
ต่อมาก็ชักหดหู่ใจจากภาพเกรียมดำเป็นตอตะโกของสัตว์ป่าที่ต้องมาตายอย่างน่าสังเวช แล้วมาภายหลังไม่กี่ปีนี้ที่คนเมืองได้สัมผัสกับควันที่ลอยมาปกคลุมเมืองภูมิภาคกันตรง ๆ และนาน ๆ แล้วต่อมาเมืองหลวงเมืองไหญ่ทั้งหลายก็หนีไม่พ้นจากสารพัดสะสมของควันจากสารพัดแหล่ง และได้กลายมาเป็นปัญหาระดับชาติที่รับกันไว้โดยถ้วนหน้า แถมมีสถิติที่ติดอันดับโลกเสียด้วย !!
ที่ผ่าน ๆ มา กรมป่าไม้จึงสร้างหน่วยเล็ก ๆ แบบหน่วยคอมมานโดที่สร้างคนฝึกคนที่มีทั้งที่เป็นข้าราชการ เป็นลูกจ้าง เป็นอัตราจ้าง เป็นจ้างรายปี ให้มารวมกำลังเป็นหน่วย ''เหยี่ยวไฟ'' ซึ่งรวมกันหลงจ้งทั้งประเทศมีอยู่แค่ ราว 200 คน !! เงินน้อยก็ต้องสู้แบบเงินน้อยไงครับ โดยปรับให้เป็นหน่วยเดินทางเร็ว และบุกเข้าลึก ไต่เขาขึ้นที่สูงต้องเป็น และแน่นอน ต้องใช้เชือกโรยตัวออกจากที่สูงได้เร็วและสามารถทำงานทั้งกลางวันกลางคืนได้ พักค้างแรมในป่าเพื่อทำงานสลับกันพักผ่อนได้ เพราะไฟป่านั้น เร็ว แรง เปลี่ยนทิศได้ปุปปัป แถมฤดูระวังไฟป่าของไทยนั้นไม่ใช่สั้น ๆ นะครับ ทันทีที่หมดฝนไปเพียงสองเดือน ป่าไทยจะแห้งติดไฟได้ง่าย งานของเหยี่ยวไฟจึงเริ่มตั้งแต่ตุลาคมของปี ยาวตลอดช่วงแล้งไปจนถึงพฤษภาคมของทุกปี ก่อนที่หน้าฝนจะทำหน้าที่ตามธรรมชาติของฤดูกาล งานของเหยี่ยวไฟจึงจะหมดภารกิจกระจายช่วยอยู่กับชุมชนในภาคเหนือ แล้วทุกคนจะมุ่งลงภาคใต้ เพราะฤดูไฟป่าในพรุ ที่พรุควนเคร็งและพรุอื่น ๆ ในนครศรีธรรมราชและนราธิวาสจะเริ่มพอดี ไฟในป่าพรุนั้นยิ่งอันตรายและควบคุมยาก เพราะไฟในพรุที่น้ำแห้งลงนั้นจะทำให้เกิดโพรงอากาศจำนวนมากใต้ดิน และไม้สำคัญในป่าพรุมักเป็นไม้โกงกางซึ่งให้ค่าความร้อนสูง จะทำให้ไฟที่ติดในพรุทั้งร้อนแรงและดับยาก แถมตาเปล่าจะมองไม่เห็นเปลวไฟ เพราะไฟอยู่ในชั้นข้างใต้ระดับผิวพื้น รวมทั้งความร้อนและควันจะระอุพวยพุ่งออกมารบกวนตลอดเวลา
ถ้าถามผมว่าทำไมจึงรู้เรื่องนี้ลงรายละเอียดได้ ก็เพราะ คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภาเรา ตามไปเยี่ยมถึงฐานใหญ่ของการควบคุมปฏิบัติการ อันเป็นรังใหญ่ของหน่วย ''เหยี่ยวไฟ'' ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดลำปาง นี่แหละครับ คณะกรรมาธิการจึงได้รับฟังและซักไซ้ไต่ถามกันได้เต็มที่ นอกจากเหยี่ยวไฟของ กรมป่าไม้ แล้ว ถ้าเข้าไปในสนามจริงเวลาเผชิญไฟ เราจะเจอหน่วย ''เสือไฟ'' ของกรมอุทยานฯ และเจอชาวบ้านและฝ่ายราชการพลเรือน ทหารและท้องถิ่นในการร่วมเคียงกันและแบ่งบทสู้กับไฟป่า ตามระดับความยากของพื้นที่

บทความนี้จึงขอส่งท้ายให้ได้คิด ว่าเราไม่อยากให้มีไฟป่าหรอก แต่สิ่งที่เราต้องเรียนรู้อย่างเข้าใจอย่างน้อยอีกสามอย่างคือ คิดถึงการสนับสนุนคนหน้างานที่ต้องเสี่ยงชีวิต คิดถึงการบัญชาการของพื้นที่ๆอุดมไปด้วยดราม่า และความซับซ้อนของสังคม และคิดถึงพลังชุมชนที่จะป้องกันตนเองและยังสามารถช่วยดับไฟในมือคนจุด ปลดลดอุปสรรคของกฏหมายและระเบียบราชการให้ได้มาก ๆ สร้างการร่วมมือ ที่เสมอหน้า เสมอใจ ได้แนวร่วมที่แท้จริง และมองให้เห็นปัญหาของไฟป่า ''ที่คน มากกว่าที่ควัน....''

 
 
 
-------------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------------