บรรยายทิศทางการทำงาน "นักจัดการภัยพิบัติ 8 ระบบ" รุ่นที่ 1 จัดโดยมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภาฯ
วานนี้อยู่บนดอยภาคเหนือ วันนี้มีบินลงใต้ไปในดินแดนที่มีภูเขาใหญ่ ของ ต.เกาะขันธ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อบรรยายทิศทางการทำงาน การผูกความร่วมมือและกล่าวนโยบายก่อนจบปิดหลักสูตรกลุ่มผู้ผ่านการอบรม "นักจัดการภัยพิบัติ 8 ระบบ" รุ่นที่ 1 จัดโดยมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งภาฯ ร่วมกับ สสส. และกรมป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน แล้วบินกลับมากรุงเทพฯตอนดึกๆเลยครับ
ภัยพิบัติมีหลายอย่าง แต่ในภาวะฝนเหวี่ยงจากภาวะโลกเดือด อุทกภัยรุ่นใหม่ๆ มักไม่ใช่เรื่องน้ำท่วมขังอย่างเคยๆเสียแล้ว แต่เป็นเรื่องน้ำไหลบ่า ฝนมาแรง โคลนมาเร็ว เพราะดินตามที่สูงไม่สามารถอุ้มน่ำได้เท่าเดิม เพราะจำนวนไม่น้อยถูกโค่นไม้ใหญ่ ไม้รากลึก เผาป่าจนเกิดน้ำมันบางๆจากไม้ที่เคลือบผิวดินไว้จนดินเริ่มสะท้อนน้ำ น้ำลงจากเขาจึงพุ่งแรงขึ้น ชะขอบตลิ่งและกวาดเศษสิ่งต่างๆสร้างพลังทำลายสูงขึ้น ดึงมวลดินโคลนลงมาทับกระแทกสิ่งต่างๆที่ขวางมัน สะพาน ถนน ระบบสาธารณูปโภคถูกตัดลง ผู้คนสูญเสียพลังเพราะทางการจากภาคเมืองจะเข้าไม่ถึงช่วยไม่ทัน
การฝึกการจัดการภัยพิบัติตั้งแต่ฝึกอ่านดัชนีความเสี่ยงให้คล่อง มองข้อมูลให้เป็น สื่อสารให้ผู้คนขยับหลบจากเส้นทางเสี่ยง มีบัญชีระบบช่วยเหลือผู้เปราะบาง จัดวางอาสาสมัครในพื้นที่ให้รู้หน้าที่ มีบทบาทไม่ทับซ้อนแต่ประสานได้ว่องไว มีระบบสื่อสารสำรอง มีวิธีเตือนภัย มีระบบอพยพผู้คน มีจัดพื้นที่รองรับ มีเตรียมกซ้อมภัยสม่ำเสมอ ล้วนเป็นปัจจัยใหญ่ที่ช่วยให้ผ่อนหนักเป็นเบา ชุมชนรักกันมากขึ้น มีทั้งทักษะ มีทั้งสามัคคี มีความสามารถช่วยกันเอง และยังอาจเพิ่มขยายวงไปช่วยพื้นที่ข้างเคียงได้อีกมากครับ
ตามแผนที่ทางความคิดที่เคยวางไว้กับเครือข่าย นักเผชิญเหตุระดับสนามก็มีฝึก นักอ่านวิเคราะห์ภัยก่อนเกิดก็มีให้สร้าง นักบริหารเหตุการณ์ก็ต้องพร้อมหลายๆ ระบบฝึกซ้อม ฝึกอบรมจนจบไปหลายๆแบบมาตั้งแต่ปี 2566