วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ : ทางออกของภูเขาขยะ ตอน 1
28 กันยายน 2564 คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา
ขยะเปียกทำปุ๋ย: ขยะพลาสติกทำน้ำมัน : ขยะสารพันทำแท่งเชื้อเพลิง (ถ้ารีไซเคิลไม่ได้อีก)
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมย่องไปเยี่ยมชมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนระดับจังหวัดที่อุดรธานีครับ ขยะเทศบาลจากทั่วอุดรธานีถูกรถขนขยะนำส่งมาจัดการที่นี่ ผลผลิตจากโรงคัดแยกขยะนี้จะกลับออกไปเป็นแท่งเชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้าพลังขยะต้องการราว 30%ของปริมาณขยะสดที่ส่งเข้ามา
ถ้าเป็นกรณีปกติ ในอดีตก็แปลว่าขยะอีกถึง 70 % ยังต้องเอาไปฝังกลบ แต่ที่นี่ไม่ครับ
เพราะ เค้าสามารถดึงอินทรีย์วัตถุในขยะออกมาทำวัสดุบำรุงดินหรือทำสารปรับคุณภาพดินได้อีกตั้ง 60% และอีก 10% ยังอุตส่าห์ค้นเจอวัสดุต่าง ๆ ในกองขยะมารีไซเคิลได้ใหม่ เหลือที่ต้องลงหลุมฝังกลบน้อยมาก เฉพาะของที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเอามาทำอะไรได้อีกในเวลานี้ ที่นี่มีเป้าหมายจะงัดหลุมฝังกลบขยะเก่าๆที่เคยฝังขยะเทศบาลลงที่นี่มากว่า 20 ปี กลับขึ้นมาทำขั้นตอนคัดแยกแบบนี้ใหม่ให้จนกว่าจะหมดด้วย!!
ได้บุญกุศลต่อแผ่นดินแน่นอน เพราะเสมือนล้างป่าช้าขยะดีๆนี่เอง
นี่ไง ผมจึงต้องแล่นออกจากรัฐสภาบินไปขอดูให้เห็นกับตา เมื่อคุณแม่ลูกสอง ‘’คุณหยกและพี่พิศาล’’ เพื่อน และพี่ที่เรียนร่วมเรียนทันกันสมัยที่ยังอยู่ที่นิติศาสตร์ จุฬา กับผม บอกว่ามีเรื่องดี ๆ อยากให้ได้ไปสำรวจ เพราะรู้ว่าผมสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม
ที่นี่เป็นบ่อขยะดั้งเดิมของจังหวัดที่ใช้งานมานาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรราว 35 นาที ขับรถทางเข้ายังขรุขระมีหลุมบ่อบ้าง แต่เมื่อเข้าไปถึงที่ตั้ง ก็จะพบขบวนรถขยะเทศบาลจากที่ต่างๆ ทยอยกันเข้ามาส่งของลง และมีรถสิบล้อพ่วงมารับเชื้อเพลิงที่เรียกว่า RDF ออกไปไม่หยุดทั้งวัน
ใต้ผืนดินละแวกนี้ เป็นบ่อฝังกลบขยะเทศบาลขนาดราว 300 ไร่ ที่สะสมขยะสารพันมาราว 20 ปี
คาดว่ามีปริมาณขยะใต้ดินอยู่ถึง หนึ่งล้านตัน!!
ไม่ต้องตกใจมากครับ
เพราะผมมั่นใจว่าเทศบาลนครในไทยส่วนใหญ่ก็มีแบบนี้แหละ
เพียงแต่มันไกลหูตา ห่างจากความสนใจของผู้คน เท่านั้นเอง
แต่คิดดูว่าทั่วประเทศทุกเทศบาลรวมกันมาตลอด 40 กว่าปีของการก้าวสู่สังคมบริโภคและอุตสาหกรรมนิยมนั้น เรามีซากขยะหมักใต้แผ่นดินคิดเป็นปริมาณเท่าใด
และบัดนี้กองทับกันเข้าไปใหม่วันละน้อยลงหรือไม่
คำตอบคือไม่ครับ มีแต่การผลิตขยะรายหัวเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
ยิ่งพอโควิดมา การใช้พลาสติกและการทิ้งนั่นนี่ยิ่งเยอะ เลยเติมอัตราผลิตขยะเพิ่มยกใหญ่
ด้วยว่าอ้างความจำเป็น
พนักงานที่นี่ทำงาน 8 ชั่วโมง ต่อวัน ในอนาคตถ้าจะทำเพิ่มเป็น 3 กะ 3 ชุดแบบ 24 ชั่วโมงก็คงทำได้ ถ้าจำเป็น และเมื่อระบบสนับสนุนสมบูรณ์ครบตามแผน
ที่นี่เปิดดำเนินการมาเพิ่งจะ 2 ปี
สถิติที่ทำได้แล้วคือ
ราว 10 % ของกองภูเขาขยะนี้ ถ้าคุ้ยดีๆ จะเจอวัสดุที่พอรีไซเคิลได้ราว 5 %
อีก 5 %คือของที่ยังเอาเข้าโรงคัดแยกไม่ได้ ไม่งั้นมันจะทำให้เครื่องจักรพันกันยุ่งจนพัง ได้แก่เศษแห ตาข่าย เชือก สแลนบังแดด ที่นอนเก่า ๆ เน่า ๆ ยางรถ สายพาน และแน่นอน เดี๋ยวๆก็อาจจะเจอวัตถุระเบิดและอาวุธที่มีมิจฉาชีพโยนทิ้งติดในถังขยะมา กับต้องคอยระแวงระวังขยะติดเชื้อและขยะอันตรายต่างๆที่อาจมีหลงรอดติดเข้ามา
อย่างไรก็ดี เสน่ห์ของเรื่องอยู่ที่ตรงที่จะเล่าต่อครับ
60%ของภูเขาขยะจะกลายไปเป็นปุ๋ยหรือวัสดุปรับปรุงดิน เพราะขยะเทศบาลนั้นมีสารอินทรีย์ ซากพืช เศษอาหาร และเศษซากจากเนื้อและกระดูกหรือก้างปลาเยอะทีเดียว
30% ของภูเขาขยะกลายเป็นแท่งอัดของเชื้อเพลิง หรือ RDF (Refuse Derived Fuel)ซึ่งส่วนมากมาจากเศษขยะพลาสติกอัดกันเป็นก้อนเป็นแท่งสำหรับส่งเข้า’’เตาไฟ’’ของโรงไฟฟ้า สุดแต่ว่าจะเอาไปเผาเอาความร้อนแทนเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันเตา น้ำมันดีเซลหรือจะเผาอย่างแท่งฟืนก็ว่าไปที่มุ่งสู่ เมืองคาร์บอนต่ำ หรือ LCC (Low Carbon City Program)
แถมยังมีMOU กับบริษัทของเกาหลีใต้ เพื่อศึกษาการนำก๊าซต่างๆจากหลุมขยะขึ้นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าตามแนวคิด กลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือ CDM (Clean Development Mechanism)
แปลว่างานนี้สามารถขาย คาร์บอนเครดิต ได้เงินมาเสริมอีกทางด้วย
เพราะการเปลี่ยนขยะมูลฝอยให้เป็นเชื้อเพลิงได้นี้ ถือว่าช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และตลาดซื้อขายคาร์บอนของโลกก็รออยากซื้อกันอยู่มาก เพราะมิเช่นนั้น พวกกิจการที่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับการคัดแยกพลาสติกออกมาจากภูเขาขยะนี้ เจ้าของโครงการสามารถเลือกที่จะไม่อัดแท่ง แต่เอาพลาสติกไปเข้า’’หม้ออบหลอม’’ คืออบด้วยความร้อนสูงเพื่อได้ผลผลิตออกมาเป็นน้ำมัน อัตราการแปรรูปที่เทคโนโลยีปัจจุบันทำกันได้คือ ขยะพลาสติกที่คัดแล้วตันหนึ่งจะกลั่นออกมาได้เป็นน้ำมันราว 500 ลิตร ซึ่งเมื่อปรับคุณภาพแล้วสามารถใช้น้ำมันนี้เติมเครื่องจักรในภาคเกษตรก็ได้ ใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก็ได้ หรือบางวัดใช้เผาศพก็มี ที่กาญจนบุรีมีทำเช่นนี้เพราะราคาประหยัดกว่าและได้ผลอย่างเดียวกัน
สำหรับขยะสดที่เอาไปทำวัสดุปรับปรุงดินนั้น ได้ทดลองให้สหกรณ์การเกษตรที่ร่วมมือมารับไปใช้ในพื้นที่เพาะปลูกแล้ว มีการตรวจติดตามผลว่าดินเดิมของที่นั้นๆ ขาดอะไรหรือมีอะไรที่ควรตัดทอนชดเชย เพื่อให้ปลูกพืชได้งามขึ้น ซึ่งก็ได้ผลดี ด้วยการปรับสูตรจุลินทรีย์ที่ใช้หมักกองขยะอินทรีย์ให้เหมาะกับผลที่ต้องการ
และในการคัดแยกขยะมหึมาขนาดนี้ ทางโครงการได้จดทะเบียนร่วมกิจกรรม
ขยะชุมชนของไทยต่างจากขยะชุมชนของตะวันตก เพราะขยะของฝรั่งตะวันตกนั้น จะมีเศษอาหารลงถังมาปะปนน้อยมาก อีกทั้งฝรั่งไม่ค่อยนำเหมู ไก่ ปลา เป็นตัวๆมาแล่เองที่บ้านเท่ากับที่คนเอเชียทำ ฝรั่งคุ้นกับการซื้อเฉพาะเนื้อที่แล่สำเร็จ เลาะกระดูกที่ไม่บริโภค จากร้านจำหน่ายใส่ห่อพร้อมแช่ตู้เย็นมาแล้ว ถ้าเป็นปลาก็แทบไม่เคยได้หัวได้หางหรือครีบหรือไส้ปลากลับมาบ้านด้วยซ้ำ คือได้เป็นเนื้อปลาแล่เป็นชิ้นเป็นแผ่นกลับมาพร้อมเข้าเตาอาหารเลย
ฝรั่งทานไปจึงไม่ค่อยมีก้างมีครีบมีกระดูกเหลือทิ้ง เพราะถูกคัดแยกออกไปตั้งแต่ยังอยู่ที่โรงแล่ และหรือร้านขายเนื้อ(Butcher shop)
ขยะของโรงชำแหละจึงไม่ปะปนกับขยะครัวเรือน
แต่ในเอเชียเรานั้น ประชาชนยังนิยมซื้อปลาทั้งตัว ซื้อเป็ดไก่สดทั้งตัว มาสับเองแล่เองที่บ้าน ขยะครัวเรือนจึงมีเศษซากเหลือทิ้งเป็นรูปขยะอินทรีย์ที่เน่าเสียและเปียกมันเยิ้มมากกว่า แถมด้วยถุงแกง ซึ่งมันแผล้บแน่นอน
ผักในอาหารไทยหลายอย่างก็ใช้เพื่อดึงเอารสชาติหรือเอากลิ่นเฉยๆ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด รากผักชี ซึ่งไม่ค่อยมีใครเคี้ยวกลืนแน่ ดังนั้น ก้นชามจึงมีเศษอาหารที่ต้องถูกทิ้งออกมามากกว่าแนวครัวอาหารฝรั่งอยู่พอควร
ถุงขยะเราเลยมีทั้งกากใยและทั้งไขมันลงถังแยะกว่า
ขยะร้านอาหารริมทาง ร้านเพิง ร้านห้องแถวหลายที่ก็ใช้การทิ้งเศษวัตถุดิบและของเหลือจากลูกค้าปนมากับขยะเทศบาล
ตลาดสดยิ่งมีเศษผักเศษอินทรีย์แยะ และก็ใช้รถขยะเทศบาลเก็บออกเช่นกัน
ขยะชุมชนไทยจึงเปียก มีน้ำหนักสูงและเน่าเสียเร็ว
ในขณะที่ขยะชุมชนของชาติตะวันตกจะเป็นพวกบรรจุภัณฑ์ เศษไม้เศษผ้าและเฟอร์นิเจอร์ชำรุดซึ่งแห้งกว่า
ส่วนเศษซากถ่านไฟฉาย หลอดไฟ และซากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น ฝรั่งมีกติกาเทศบาลที่ใช้จนคนคุ้นชินเรื่องวิธีแยกทิ้งเพื่อส่งทำลายให้ถูกต้อง
นี่เล่าแบบเบื้องต้นนะครับ
ไม่ใช่ว่าตะวันตกมีวินัยกันได้หมดหรอก แต่การทิ้งขยะแบบมั่วในบ้านเขามีเหลือเพียงส่วนน้อย แต่ของฝั่งเอเชีย อาจยกเว้นญี่ปุ่น ที่คุ้นชินการทิ้งแบบรวมหมู่ มีทั้งเปียกแห้งและขยะอันตราย แถมเผลอๆมีขยะติดเชื้อปนมาให้ด้วย
ดูจะยังต้องรณรงค์กันอีกมากอยู่
กล่าวคือระบบตะวันตกมีกติกาและความคุ้นเคยกับการคัดแยกขยะในครัวเรือนตั้งแต่ต้นทางมาพักหนึ่งแล้ว รถเก็บขยะก็มีเพียงพอจะแบ่งคิวได้ทั่วถึงกว่า ดังนั้น ขยะชุมชนของบ้านเขาจึงสยดสยองน้อยกว่าขยะชุมชนของเอเชีย แต่กระนั้นกองขยะของเขากองใหญ่มากเพราะแต่ละคนผลิตขยะเยอะมากจากอำนาจซื้อที่สูงกว่า โดยเฉพาะอเมริกัน
ความเปียกของขยะนี่เอง ที่ทำให้เทคโนโลยีของฝรั่งที่เคยผลิตเตาเผาขยะขายทั่วโลก กลับไม่ค่อยเวิค์ในเอเชีย
เพราะเตาเผาขยะในไทยจะต้องถูกเร่งโหมอุณหภูมิสูงใส่น้ำมันเติมบ่อยๆเนื่องจากขยะที่ยังมีความชื้นสะสมอยู่มากนั้น ย่อมเผายากกว่า
ในขณะที่เตาเดียวกันเผาขยะฝรั่ง แทบจะอาศัยความแห้งของตัวขยะเป็นเชื้อเพลิงไปได้เลย
แต่ที่แน่ๆ ขยะชุมชนของฝรั่งนำมาสกัดเป็นปุ๋ยอืนทรีย์ได้ไม่คุ้มค่า เพราะปริมาณอินทรีย์สารในกองขยะเขาก็มีน้อยตามเหตุข้างต้น
อินทรีย์สารในขยะชุมชนไทยมีมาก จึงทำเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค เป็นที่ชุมนุมของหนู นกและแมลง แถมย่อมส่งกลิ่นรบกวนรุนแรงยิ่ง การหมักหมมนี้ยังกลายเป็นก๊าซมีเทนซึ่งสร้างปัญหาในฐานะก๊าซเรือนกระจกอีก นำมาซึ่งสภาวะโลกร้อน และสภาพภูมิอากาศแปรปรวน
สถานที่จัดการขยะที่อุดรธานีก็ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาเช่นกัน
พรุ่งนี้มาต่อตอนจบครับ
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา รองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ที่มา
- นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ส.ว. เขียนบทความนำเสนอ "ทางออกของภูเขาขยะ" (khaosod.co.th)
---------------------------------------------