ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org

เว็บไซต์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ www.weerasak.org
มีความมุ่งมั่นเเละตั้งใจในการเผยแพร่เรื่องราวความรู้ความเข้าใจในการสร้างสรรค์สังคมด้วย การพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมกฎหมายและการปกครอง เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป
มองโลก มองความยั่งยืน
จบปริญญาโท กฎหมายสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อดีตสมาชิกในบ้านพิษณุโลกมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีประสบการณ์พัฒนานโยบายสาธารณะมาต่อเนื่อง เป็นนักกฎหมายที่เชื่อมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ผู้ที่มีความมุ่งมั่นเเละมีอุดมการณ์ในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความเท่าเทียม การพัฒนาประเทศไทยให้มีความทันสมัย เจริญเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป

Rhythm of life วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ 3/3 ช่วง 5 ปีที่ถูกตัดสิทธิ์

ไฮคลาส : วันนี้ในวัย 43 ปี หากมองย้อนกลับไปนอกเหนือจากบทบาทการเมือง วิสัยทัศน์การมองโลกเปลี่ยนไปไหม เป็นรัฐมนตรีแล้วมันเปลี่ยนอะไรในชีวิตไปบ้าง
ผมโชคดีก็คือ ผมมีทั้งคนที่อายุเท่าๆ กัน ผู้ใหญ่มากกว่า พูดจาแล้วเราจับคำสอนของเขาไว้ รูมเมทของผมเป็นญาติที่โตมาด้วยกันสมัยเรียนมัธยม ตอนนี้เขาเป็นผู้จัดการไทยอินเตอร์ฯ อยู่ที่ญี่ปุ่น เขาเคยพูดว่า “เวลาธงขึ้นอยู่ในที่สูงต้องเป็นธงผืนเล็ก ธงผืนใหญ่มันโดนลมแรงสะบัดแล้วจะขาด” ความนอบน้อมถ่อมตัวซึ่งปกติมีอยู่แล้วก็ยิ่งสำรวมให้มากขึ้น         
 
อาจารย์สุรเกียรติเป็นผู้บังคับบัญชาคนแรกในการทำงานของผม สอนว่า “วันที่ก้าวขึ้นให้นึกถึงวันที่ก้าวลง”

ท่านบรรหาร รวยแทบตาย แต่เป็นคนที่ไม่ฟุ่มเฟือยเลย แล้วก็ขยันเสมอต้นเสมอปลาย เป็นความเสมอต้นเสมอปลายอย่างหนัก ทำให้เรารู้ว่าชีวิตอย่าเปลี่ยนนะ อย่าได้เปลี่ยนตัวเองจากสิ่งรอบข้าง จงพยายามรักษาตัวเองเอาไว้ เพราะฉะนั้นทัศนคติมุมมองต่อโลก ความรู้มันมากขึ้น ความสามรถในการเชื่อมต่ออะไรมันมากขึ้นหรอกครับเมื่อเป็นรัฐมนตรี เพราะคุณได้ไปอยู่ในที่ที่มันต่างจากที่คุณเคยอยู่ แล้วคุณได้มองๆๆ เหมือนกับขึ้นไปบนตึก 15 ชั้นแล้วมองมันก็จะเชื่อมซอยต่างๆ ด้วยสายตาได้เร็วขึ้น แต่ต้องไม่เปลี่ยนรสนิยม 

ไฮคลาส : ทุกครั้งที่ทำงานใช้อะไรเป็นหลักคิดในการแก้ไขปัญหาที่เข้ามาสู่ตัวเรา
การได้บวชแล้วบอกว่าคุณต้องขยันแต่จิตคุณต้องอยู่กับที่ มันช่วยคุณได้ในท่อนที่หนึ่งก่อน ผมได้ทบทวนตัวเอง เวลานั่งรถแล้วไม่มีใครโทรศัพท์เข้ามาแต่ปกติต้องโทรศัพท์ตลอดเวลาอยู่แล้วนะ ก็ใช้เวลาว่างเท่าที่เหลือจะมีกี่นาทีก็ตามในแต่ละวันใช้คุณภาพนั้นบอกกับตัวเองว่า “ธรรมะที่บอกให้อยู่นิ่งๆ ใจนิ่งๆ แต่ขาน่ะก้าวเดินไปให้มีให้มาก” คือ ครองสติ ถัดมาคือครอบครัวครับ กำลังใจทั้งหมดคือกลับไปบ้านแล้วเห็นคนยิ้ม เห็นกำลังใจ คุณเหนื่อยแค่ไหนนอนแล้วก็จะหายเหนื่อย แล้วรุ่งขึ้นตีห้าออกมาใหม่ กลับบ้านห้าทุ่มออกตีห้า กลับไปแล้วไม่ได้เห็นเขายิ้มหรอกเพราะเขาหลับหมดแล้ว (ยิ้ม) แต่เวลาโทรคุยกันหรืออะไรต่างๆ นั้นเรารู้ว่าว่ารอยยิ้มเขายังอยู่ จริงๆ เขาก็คงจะต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนกันแหละไม่เจอหน้าเราเอาซะเลย เทศกาลหยุดของชาวบ้านนั่นคือเทศกาลทำงานหนักที่พวกท่องเที่ยวต้องทำ ก็ดีเหมือนกันนะเป็น 10 เดือน ขืนเป็นนานกว่านี้ผมก็คงไม่รู้จะเป็นอย่างไรเหมือนกัน สุขภาพก็ย่อมจะต้องมีปัญหา ฉะนั้นในมุมหนึ่งในวันที่วินิจฉัยซะ ผมก็โล่งใจเพราะผมรู้ว่าวันหนึ่งมันต้องจบ แต่ผมไม่รู้มันจะจบเมื่อไหร่และจบอย่างไร เอ้ามันจบอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน 

ไฮคลาส : แล้วหลังจากนี้ 5 ปีที่ถูกตัดสิทธิ์ แต่คุณก็ยังมีชื่ออยู่ในกลุ่มคนที่จะมีบทบาททางการเมือง
การเดินของความคิดทางสังคมนั้นมันไม่มีวันหยุดหรอก ของคนทุกคน ไม่ใช่แค่เรา เมื่อคุณมีข้อมูลคุณก็อย่าเก็บเอาไว้ข่มคนอื่นเลย แชร์ให้คนอื่นฟังเถอะ แล้วเขาจะเอาไปใช้หรือไม่เขาก็มีทางเลือกได้มากกว่านั้น คุณน่ะไม่ใช่คนเอาไปใช้แน่เพราะคุณถูกเพิกถอนสิทธิ์แล้ว แต่คุณจงเอาความรู้ ข้อมูล ชุดความคิด แจงออกมาให้คนอื่นเขาฟังเป็นระยๆ ก็ดี ไม่ใช่เพื่อให้เขาไม่ลืมเรา จริงๆ ไม่อยากให้รู้ด้วยซ้ำว่ามาจากใคร เพียงมันมีของดีๆ ที่น่าเล่าให้ฟังก็เล่า

ไฮคลาส : อย่างคุณก็จัดว่าเป็นคนคุณภาพของสังคมไทย การที่สังคมไทยจะใรกระบวนการผลิตคนอย่างนี้ออกมา คุณมองโนวฮาวออกไหมว่าจะจับใส่ไปในกระบวนการผลิตบุคลากร
มีครับ ความพอเพียงครับ การฝึกในเรื่องของความพอเพียง จะสร้างคนเอง ไม่ว่าเขาจะมาเป็นอะไร พอเพียงในความหมายของผม ก็คือมีความพอประมาณ มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกัน ถ้าพูดกันตามสูตร แต่เมื่อฝึกฝนและลงมือทำจริงมันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องบริหารตัวเองก็คือการขยัยนะสำคัญ ความพอเพียงต้องอยู่กับความขยันนะ หากพอเพียงคือบอกว่าพอแล้ว...เลิก ไอ้อย่างนั้นไม่เรียกพอเพียง เรียกว่าขี้เกียจทำ 

พอเพียงยังต้องขยันอยู่ครับ แต่ขยันแล้วมีทิศทางที่เป็นเรื่องการแบ่งปันไม่ใช่แข่งขัน การแบ่งปันก็ไม่ใช่ว่ารวยแล้วค่อยไปแบ่ง แต่หมายถึงการแบ่งปันความรู้ แบ่งปันชุดความคิด แบ่งปันแล้วโอบทุกคน ถ้าเขามีแรงโอบเราด้วยเราก็ไปกับเขาด้วยและช่วยกันประสานกันประคองกันไป เป็นกระบวนการที่สร้างมิตร สร้างเครือข่ายไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าของเครือข่าย และหลายกรณีไม่ต้องมาเป็นเจ้าภาพ และไม่มีปัญญาเป็นเจ้ามือด้วย แต่ว่าทำให้เครือข่ายมันเคลื่อน เป็นกระบวนการทางวัฒนธรรมไม่ใช่กฎหมาย ไม่ต้องใช้มาตราใดทั้งนั้น ไม่ต้องใช้เงินด้วย เพียงแต่กระบวนการเคลื่อนทางความคิดนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่ามูลค่า 

และคุณค่าเหล่านี้มันไปปรากฏอยู่ในบางอย่างที่บางทีเราเองก็มองไม่ถึงแต่มันจะออกมาในทิศทางที่ดี ผมถึงตั้งชื่อลูกว่า “ปัณณ์” ตามอักขระแปลว่า หนังสือ ควาหมายคือ เรียนรู้ ขยัน และเป็นคำพ้องเสียงของคำว่าแบ่งปัน ผมอยากให้เขาโตขึ้นในโลกของการแข่งขันที่เขารู้จักการแบ่งปัน สำนึกสำคัญมาก แน่นอนว่ามีสำนึกที่ดีได้จงเรียนรู้หาวิธีการที่ดีด้วย วิธีการมันหลากหลายไม่ต้องไปผูกขาดวิธีการหรอก คนอื่นเขาก็ทำดีเป็นให้เขาทำไปเถอะ แต่ว่าจงชื่นชมสำนึกของใครต่อใครที่มันดี 

ไฮคลาส : ในขณะนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลนี้ อยากให้แสดงมุมมองที่มีกับรัฐบาลในปัจจุบัน
ผมอยู่มาแล้วกับหลายรัฐบาล หลายรัฐบาลเหลือเกิน (หัวเราะ) แต่ไม่ว่าอย่างไรผมเชื่อว่าในทุกรัฐบาลมีผู้มุ่มมารถปรารถนาดีต่อบ้านเมือง วิธีการต่างหากที่เขากำลังค้นหา และเมื่อได้วิธีการเขาต้องการผู้ไปทำ ถ้าภารกิจนั้นยังเป็นสิ่งที่เราทำได้เราก็จงช่วยไปเถอะ แต่ก็จงอย่าทำอะไรที่เกินตัว ผมถึงได้บอกว่าคนอื่นเขามาสู่การเมืองเมื่อเขาพร้อม ผมมาเมื่อผมไม่พร้อม ผมไม่เคยพร้อม การสร้างตนทางเศรษฐกิจยังไม่ได้ก้าวไปถึงไหนเลยแต่เมื่อต้องมาอยู่ในเรื่องส่วนนี้ ทำงานร่วมกับภาคสังคม แต่ถ้าว่ามั่นคงหรือยังทางบ้านก็บอกว่า ประคองตัวมาไม่ให้มีหนี้ล่ะ กลับไปมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ ก็พออยู่ได้

ไฮคลาส : เหลือเวลาอีกเกือบ 5 ปี คุณจะพร้อมกลับมาไหม
อู้ย...ผมว่าอนาคตเรื่องการเมือง บ้านเมืองเราต้องไม่ทิ้งอยู่แล้ว คุณต้องไม่ทิ้งบ้านเมือง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องทำการเมือง 

ไฮคลาส : รัฐบาลนี้น่าจะต้องปรับไปในทางไหนถึงจะดี เพื่อประเทศเรา
ผมคงอธิบายยากเพราะว่าข้อจำกัดของแต่ละรัฐบาลไม่เหมือนกัน ถ้าพูดแบบนักวิชาการก็พูดว่ามันควรทำนี่ ทำนั่น แต่เราต้องเข้าใจว่าถ้ายังไม่ได้ฟังข้อจำกัดของเขาเราจะด่วนวิจารณ์ก็คงใช่ที่ ให้เวลาและให้โอกาสที่เขาจะอธิบายมาจากมุมที่เขามีข้อจำกัดนั้นและทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครวิจารณ์ มีคนวิจารณ์อยู่แล้วเสมอ ไม่ว่ารัฐบาลไหนนะ แต่ต้องให้เวลาเขาเข้าไปถึงแหล่งข้อมูล และเอาข้อมูลนั้นมาอธิบายความส่วนเรา ณ เวลานี้เขาไม่ได้มอบให้เรามาทำหน้าที่วิจารณ์ เขาให้มีหน้าที่ไปทำ ทำอะไร...ก็ทำไอ้ที่เธอสร้างเอาไว้นั่นแหละ ทำต่อ 

ไฮคลาส : สิ่งที่ทำให้คุณดูดี บุคลิกดี ไปไหนก็มีแต่คนเชื่อถือ นอกเหนือจากสติปัญญาข้างใน มันเกิดจาการหล่อหลอมหรือดูแลอย่างไร
อันนั้นเป็นแค่รูปลักษณ์ภายนอกนะ การดูแลให้มันสะอาดสะอ้าน สาระสำคัญที่สุดนะต้องสะอาดก่อน และมีกาละเทศะ อย่าให้ถึงขนาดบ้า บ้ายศบ้าอย่าง มีกาละเทศะต่างกับบ้ายศบ้าอย่าง แค่นี้แหละ คุณจะอ้วนบ้าง ผมอบ้าง เตี้ยบ้างก็ช่างหัวมันเถอะ จะขาวบ้าง ดำบ้างก็ช่างหัวมันเถอะ ขอให้สะอาดและก็มีกาละเทศะ          

ไฮคลาส : ในที่สุดคุณก็ต้องเติบโตขึ้นมาอีก เพราะที่ผ่านมาตำแหน่งรองหัวห้าพรรคก็ก้าวขึ้นมาได้
จบไปแล้ว (พูดพลางอมยิ้ม) ของอย่างนี้เราไม่รู้หรอก เหมือนกับเมื่อสามปีที่แล้วมีคนเขาประกาศทำให้เราเข้าใจว่าพรรคไทยรักไทยจะอยู่ 20 ปี ในช่วงไม่กี่เดือนหลังจากนั้นมันเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนเชื่อว่าการปฏิวัติฯ จะไม่มีแล้วมันก็มี คนเชื่อว่าอะไรๆ จะไม่เกิดขึ้นแต่มันก็เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าการเกิดขึ้นขอให้มันเป็นไปเพื่อในทิศทางที่ดีขึ้นสำหรับบ้านเมืองเถอะ ใครจะเป็นอะไรผมไม่ติดใจ ขอให้บ้านเมืองดี

ไฮคลาส : แล้วถ้าบทบาทไปถึงหัวหน้าพรรคการเมือง หรือไปไกลกว่านั้น เพราะการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน อย่างคุณเนวินกับคุณอภิสิทธิ์ก็ยังจับมือกันได้ ถ้าวันหนึ่งไปถึงตำแหน่งที่สูงกว่านี้มากๆ คุณอยากทำอะไรเป็นอย่างแรก
ถ้าเลือกได้คือจะไม่ไป เพราะการไปอยู่ในฐานะนั้นต้องใช้คุณสมบัติหลายอย่างซึ่งผมคิดว่าผมยังไม่มี เช่น ความอดทน (หัวเราะ) ความอดทนในฐานะที่เป็นผู้นำของบ้านเมืองมันใช้มากเหลือเกินนะครับ มันใช้ทั้งความทนทางกาย ความทนทางจิต และความทนทางใจ

ไฮคลาส : บทเรียนของการเป็นรัฐมนตรีมันเทียบกันไม่ได้เลยหรือ
ผมก็เพิ่งเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิตเท่านั้นเองนะ และก็เป็นแค่สิบเดือนมันยังพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก เทียบไม่ได้เลยครับ แรงกดดันคนละไซส์เลย ผมอยู่กับนายกฯ มาแล้วหลายคน และผมรู้ว่าไซส์ของความกดดันที่เข้ามาสู่นายกรัฐมนตรีเป็นไซส์ที่เที่ยบไม่ได้เลยกับนายกรัฐมนตรี และเป็นไซส์ที่เทียบไม่ได้เลยกับไอ้สิ่งที่ผมเคยเป็นมา สาระสำคัญก็คือเตือนตัวเองไปตลอดทาง “พึงระวังตนเองเสียให้หนักยิ่งกว่าระแวงผู้อื่น”  

เมื่อคุณก้าวไปสู่ในตำแหน่งที่มันต้องใช้แรงกดดันมาจากทุกทิศนั้น คุณจะพบว่าการสร้างนโยบายสาธารณะที่ไม่ถูกวิจารณ์เลยนั้นไม่มี และการวิจารณ์ที่เป็นธรรมมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา มันอาจจะมีคำวิจารณ์ที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นด้วย ความอดทนนั้นจะเป็นความอดทนที่ไม่ใช่จากภายนอก แต่มันจะเป็นความอดทนต่อตนเองด้วยว่ามันจะถามว่า “ฉันมาทนอย่างนี้ทำไม” ก็ต้องทนต่อตัวเองตรงนั้นด้วย จึงจะสามารถทำได้ ผมจึงไม่ได้ไปคิดเรื่องนี้มากนักนอกจากบอกว่าชีวิตของคนเรามีค่าเท่ากันแหละ ใครจะดำรงตำแหน่งอะไรก็ตาม จะขับแท็กซี่ กวาดถนน เป็นนักการเมือง เป็นพระ หรือเป็นทูต คุณค่าเท่ากัน และต้องประพฤติเหมือนๆ กัน คือพึงระวังตนเองเสียให้หนักยิ่งกว่าระแวงผู้อื่น แต่จงใช้ความขยัน ความสำรวม และความใฝ่ดี เป็นเครื่องมือกำกับตัวเอง และอย่าเชื่อว่าตัวเองเป็นคนดี ให้เชื่อเสมอว่าตัวเองนี่พร้อมจะเบี้ยวได้เหมือนกัน อย่าไว้ใจตัวเองเพราะนั่นคือความประมาท

อ่านทั้งหมด

Rhythm of life วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ 1/3 ก่อนเป็นรัฐมนตรี

Rhythm of life วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ 2/3 ช่วงเวลาในตำแหน่งรัฐมนตรี

Rhythm of life วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ 3/3 ช่วง 5 ปีที่ถูกตัดสิทธิ์

ที่มา

https://www.facebook.com/Weerasak-Kowsurat

http://www.hiclasssociety.com/hiclass/detailcontent.php?sub_id=1199&fbclid=IwAR2r5DdFhnfMRa8sRLP9tZG-4Qm8zOgCJHStBKf3nmvxDNWQ4lP_zfxhTJQ

 ---------------------------------------------